7 เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่โรงงานควรมี
7 เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่โรงงานต้องมี
7 เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่โรงงานต้องมี รู้จักไว้ ใช้เป็น ช่วยป้องกันความเสียหายก่อนสายเกินไป!
ในระบบไฟฟ้าภายในโรงงานอุตสาหกรรม “เครื่องมือวัดไฟฟ้า” ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการตรวจสอบ ป้องกัน และบำรุงรักษาเครื่องจักรให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ช่วยลดการสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
ไม่ว่าคุณจะเป็นช่างไฟ วิศวกรซ่อมบำรุง หรือผู้ดูแลระบบไฟในโรงงาน ต่อไปนี้คือ 7 เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่ควรมีติดโรงงานไว้ อย่างน้อย 1 ชิ้น เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงาน
1. มัลติมิเตอร์ (Multimeter)
อุปกรณ์พื้นฐานที่ต้องมี! วัดได้ทั้งแรงดันไฟฟ้า (V), กระแส (A), ความต้านทาน (Ω) และความต่อเนื่องของวงจร เหมาะสำหรับการเช็กระบบไฟฟ้าทั่วไปในโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นไฟ 1 เฟสหรือ 3 เฟส
2. แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter)
คล้ายมัลติมิเตอร์ แต่เพิ่มฟังก์ชันวัดกระแสไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องตัดวงจร เหมาะมากกับงานไฟฟ้าในโรงงานที่ต้องการความปลอดภัยและรวดเร็ว
3. เครื่องวัดฉนวนไฟฟ้า (Insulation Tester / Megger)
ใช้ตรวจสอบความต้านทานฉนวนของสายไฟ มอเตอร์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ช่วยป้องกันไฟฟ้ารั่วหรือช็อตก่อนเกิดเหตุ
4. เครื่องวัดค่าความต้านทานสายดิน (Earth Tester)
การต่อสายดินที่ไม่สมบูรณ์คือหนึ่งในสาเหตุของไฟดูดหรืออุปกรณ์เสียหาย เครื่องมือนี้ช่วยวัดค่าความต้านทานของระบบกราวด์ให้อยู่ในค่ามาตรฐาน
5. เครื่องตรวจจับไฟรั่ว (Leakage Current Detector)
ใช้ตรวจหาไฟรั่วในอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ระบบโดยรวม
6. เครื่องวัดความถี่ (Frequency Meter)
สำหรับโรงงานที่มีระบบไฟฟ้าควบคุมเฉพาะทาง ความถี่ที่ไม่คงที่อาจทำให้เครื่องจักรทำงานผิดพลาด การวัดความถี่ช่วยให้ตรวจสอบและแก้ไขได้ตรงจุด
7. เทอร์โมสแกน หรือ เทอร์โมมิเตอร์อินฟราเรด (Infrared Thermometer / Thermal Scanner)
ใช้ตรวจจับความร้อนผิดปกติที่เกิดขึ้นในตู้ควบคุมไฟ เบรกเกอร์ มอเตอร์ หรือระบบไฟฟ้าต่างๆ ก่อนจะลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่
สรุป
เครื่องมือวัดไฟฟ้าไม่เพียงแค่ช่วยตรวจสอบระบบไฟ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงรักษา หากคุณมีเครื่องมือพื้นฐานเหล่านี้ติดโรงงานไว้ ก็จะช่วยให้สามารถจัดการปัญหาทางไฟฟ้าได้รวดเร็ว ปลอดภัย และแม่นยำมากยิ่งขึ้น
เพิ่มเพื่อน - ติดต่อสอบถาม
Line : @FACTORIPRO