ระบบไฟฟ้าสำรอง (Backup Power System) เลือกอย่างไร

ระบบไฟฟ้าสำรอง (Backup Power System)
เลือกอย่างไรให้เหมาะกับโรงงานของคุณ

ในโรงงานอุตสาหกรรม “ไฟดับ” ไม่ใช่แค่ปัญหาชั่วคราว แต่คือความเสียหายที่อาจหมายถึง การหยุดสายการผลิต เสียวัตถุดิบ และสูญเสียรายได้หลายแสนบาทต่อชั่วโมง
เพราะเหตุนี้ “ระบบไฟฟ้าสำรอง (Backup Power System)” จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป

แต่คำถามคือ — จะเลือกอย่างไรให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานของโรงงาน?
วันนี้ Factoripro ชวนมาดูแนวทางการเลือกระบบไฟฟ้าสำรองอย่างมืออาชีพ เพื่อให้เครื่องจักรไม่หยุดเดินแม้ไฟหลักจะดับก็ตาม

ระบบไฟฟ้าสำรอง (Backup Power System)

ระบบไฟฟ้าสำรอง (Backup Power System) คืออะไร?

คือระบบที่ทำหน้าที่จ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์หรือเครื่องจักร เมื่อไฟหลักจากการไฟฟ้าเกิดขัดข้อง เช่น ไฟดับ หรือแรงดันตก
ระบบนี้จะช่วยให้ ระบบควบคุม เครื่องจักร และอุปกรณ์สำคัญยังทำงานต่อเนื่องได้อย่างปลอดภัย


ประเภทของระบบไฟฟ้าสำรองที่นิยมใช้ในโรงงาน

1. UPS (Uninterruptible Power Supply)

เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เช่น คอมพิวเตอร์ควบคุม PLC หรือระบบ IT

- ข้อดี: สลับไฟได้ทันทีในเสี้ยววินาที ไม่มีไฟตก

- ข้อจำกัด: ให้พลังงานได้ระยะสั้น (ไม่กี่นาทีถึงชั่วโมง) เหมาะสำหรับระบบควบคุม ไม่เหมาะกับโหลดหนัก


2. เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator Set)

ระบบสำรองไฟที่ให้พลังงานยาวนาน ใช้เครื่องยนต์ดีเซลหรือก๊าซในการปั่นไฟ

- ข้อดี: รองรับโหลดใหญ่ เช่น มอเตอร์ ปั๊ม เครื่องจักร

- ข้อจำกัด: ต้องใช้เวลาสตาร์ตเครื่อง (ประมาณ 10–30 วินาที) และมีค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา


3. ระบบ Hybrid (UPS + Generator)

โรงงานขนาดกลาง–ใหญ่ นิยมใช้ระบบนี้ เพราะ UPS จะสำรองไฟช่วงสั้น ๆ ระหว่างที่ Generator กำลังสตาร์ต ทำให้ไม่เกิดไฟดับในช่วงเปลี่ยนผ่าน

- ข้อดี: ได้ความต่อเนื่องสูงสุดและรองรับโหลดใหญ่

- เหมาะสำหรับ: โรงงานผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เครื่องมือแพทย์ หรือระบบที่ห้ามไฟดับเด็ดขาด


วิธีเลือก “ระบบไฟฟ้าสำรอง” ให้เหมาะกับโรงงาน

1.วิเคราะห์ประเภทโหลด (Load Type)

ต้องรู้ก่อนว่าโรงงานของคุณมีอุปกรณ์ประเภทไหน เช่น

- โหลดควบคุม (Control Load) เช่น PLC, Computer → ใช้ UPS

- โหลดมอเตอร์/เครื่องจักร (Power Load) → ใช้ Generator หรือ Hybrid


2.คำนวณกำลังไฟที่ต้องใช้

รวมค่ากำลังไฟทั้งหมด (kW หรือ kVA) ของเครื่องจักรที่ต้องการสำรอง และเผื่ออย่างน้อย 25–30% สำหรับโหลดเริ่มต้น


3.พิจารณาระยะเวลาสำรองไฟ

ถามตัวเองว่าอยากสำรองไฟนานเท่าไร?

- ไม่กี่นาทีถึงชั่วโมง → UPS

- หลายชั่วโมงขึ้นไป → Generator


4.เลือกระบบควบคุมอัตโนมัติ (Automatic Transfer Switch – ATS)

ช่วยสลับการจ่ายไฟจากไฟหลักไปสำรองโดยอัตโนมัติ เพิ่มความปลอดภัยและลดความผิดพลาดของมนุษย์


5.ตรวจสอบงบประมาณและพื้นที่ติดตั้ง

ระบบ Generator ต้องการพื้นที่ระบายอากาศและระบบท่อไอเสีย ส่วน UPS ต้องอยู่ในห้องควบคุมที่อุณหภูมิคงที่


“ระบบไฟฟ้าสำรอง” ไม่ได้มีแบบเดียวที่ใช้ได้กับทุกโรงงาน การเลือกให้เหมาะต้องพิจารณา โหลด, ระยะเวลาสำรอง, งบประมาณ และความสำคัญของระบบไฟฟ้า การลงทุนในระบบสำรองไฟที่ถูกต้องจะช่วยให้โรงงานคุณ เดินเครื่องต่อเนื่อง ปลอดภัย และลดการสูญเสียจากไฟดับได้จริง

 

 

 

เพิ่มเพื่อน - ติดต่อสอบถาม
 Line : @FACTORIPRO

ไลน์ Line FactoriPro

Visitors: 58,656