รู้หรือไม่? สตาร์ทเตอร์มอเตอร์รถพังได้อย่างไร และวิธีเช็กเบื้องต้นด้วยเครื่องมือช่าง
รู้หรือไม่? สตาร์ทเตอร์มอเตอร์รถพังได้อย่างไร
และวิธีเช็กเบื้องต้นด้วยเครื่องมือช่าง
สตาร์ทไม่ติด เสียงดัง "แชะๆ" หรือเงียบสนิท อาจไม่ใช่แค่แบตหมด! ปัญหาอาจอยู่ที่ "สตาร์ทเตอร์มอเตอร์" (Starter Motor) ซึ่งเป็นหัวใจของระบบสตาร์ทรถยนต์ การเข้าใจว่าอุปกรณ์ตัวนี้ทำงานยังไง พังเพราะอะไร และเช็กได้อย่างไร จะช่วยให้คุณประหยัดค่าซ่อม และแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้ไวขึ้น
สตาร์ทเตอร์มอเตอร์ คืออะไร?
Starter Motor คือมอเตอร์ไฟฟ้าที่รับกระแสจากแบตเตอรี่เพื่อหมุนเครื่องยนต์ให้เริ่มทำงาน หากตัวนี้มีปัญหา รถจะสตาร์ทไม่ติดทันที
สาเหตุที่ทำให้สตาร์ทเตอร์มอเตอร์พัง
1.แปรงถ่าน (Brush) สึกหรอ – ทำให้ไฟไม่เข้าหรือเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง
2.โซลินอยด์เสีย – สตาร์ทไม่ติดหรือหมุนฟรี
3.ขดลวดไหม้ – เกิดจากความร้อนสะสมหรือไฟฟ้าลัดวงจร
4.เฟืองหมุนชำรุด – เสียงดังตอนสตาร์ท หมุนแต่ไม่ติด
5.สายไฟหลวม / ขั้วต่อสกปรก – กระแสไฟเข้าไม่เต็ม ทำงานผิดปกติ
วิธีเช็กสตาร์ทเตอร์มอเตอร์เบื้องต้นด้วยเครื่องมือช่าง
- ใช้มัลติมิเตอร์ (Multimeter): วัดแรงดันแบตเตอรี่ก่อนสตาร์ท ควรอยู่ที่ ~12.5V และไม่ควรต่ำกว่า 10V ขณะสตาร์ท
- ใช้สายจั๊มป์ไฟตรงโซลินอยด์: เพื่อทดสอบว่าปัญหาอยู่ที่รีเลย์หรือที่ตัวมอเตอร์
- ใช้ค้อนยางเคาะเบาๆ ที่ตัวสตาร์ทเตอร์: หากติดแปรงถ่าน อาจช่วยให้ใช้งานต่อได้ชั่วคราว (ควรเปลี่ยนใหม่)
ข้อควรระวังและคำแนะนำ
- อย่าฝืนสตาร์ทซ้ำๆ ถ้ามอเตอร์มีปัญหา อาจทำให้แบตเตอรี่พังตามไปด้วย
- หากไม่มีความชำนาญ ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบโดยละเอียด
- เปลี่ยนเฉพาะแปรงถ่านอาจประหยัดได้ แต่ถ้าขดลวดไหม้ควรเปลี่ยนยกชุด
การรู้จักสาเหตุและวิธีเช็กเบื้องต้นของสตาร์ทเตอร์มอเตอร์ จะช่วยให้คุณป้องกันปัญหาใหญ่และประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถได้มากขึ้น ลองใช้เครื่องมือพื้นฐานที่คุณมีให้เกิดประโยชน์สูงสุด แล้วรถคุณจะพร้อมใช้งานอยู่เสมอ
เพิ่มเพื่อน - ติดต่อสอบถาม
Line : @FACTORIPRO